วันอาทิตย์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ภูเขาไฟระเบิด[Volcano]


ภูเขาไฟระเบิด[Volcano]


1.1การปะทุของภูเขาไฟ Etna ในประเทศอิตาลี

  ภูเขาเกิดจากการเปลี่ยนแปลงลักษณะของเปลือกโลก ซึ่งแผ่นธรณีทวีปดันกันทำให้ชั้นหินคดโค้ง (Fold) เป็นรูปประทุนคว่ำและประทุนหงายสลับกัน ภูเขาที่มียอดแบนราบอาจเกิดจากการยกตัวของเปลือกโลกตามบริเวณรอยเลื่อน (Fault) แต่ภูเขาไฟ (Volcano) มีกำเนิดแตกต่างจากภูเขาทั่วไป ภูเขาไฟเกิดจากการยกตัวของแมกมาใต้เปลือกโลก



แมกมา(Magma) คืออะไร
  • แมกมา (Magma) หรือหินหนืดเป็นสารเหลวที่อยู่ลึกลงไปภายใต้เปลือกโลกมีความหนืดหรือข้นมากกว่าปกติ เคลื่อนตัวได้ในวงจำกัด มีส่วนผสมของแข็ง ของเหลว หรือก๊าสรวมอยู่ด้วย มีอุณหภูมิที่สูงมาก เมื่อแทรกดันหรือพุ่งขึ้นจากผิวโลก จะเย็นตัวลงกลายเป็นหินแข็ง เรียกว่า หินอัคนี


  • หินหนืดมีอุณหภูมิอยู่ในช่วง 650 - 1,200 องศาเซลเซียส ถูกอัดอยู่ภายใต้แรงดันสูง บางครั้งถูกดันขึ้นมาผ่านปล่องภูเขาไฟเป็นหินหลอมเหลว (lava) ผลลัพธ์จากการระเบิดของภูเขาไฟ มักจะได้ของเหลว ผลึก และก๊าส ที่ไม่เคยผุดขึ้นจากเปลือกโลกมาก่อน หินหนืดจะสะสมตัวอยู่ในช่องภายใต้เปลือกโลก โดยมีองค์ประกอบต่าง ๆ กันเล็กน้อยในพื้นที่ต่าง ๆ
ประเภทของภูเขาไฟ (Volcano Type)
  • ที่ราบสูงลาวา (Basalt Plateau): เกิดจากแมกมาบะซอลต์แทรกตัวขึ้นมาตามรอยแตกของเปลือกโลกแล้วกลายเป็นลาวาไหลท่วมบนพื้นผิว ในลักษณะเช่นเดียวกับน้ำท่วม เมื่อลาวาเย็นตัวลงก็จะกลายเป็นที่ราบสูงลาวาขนาดใหญ่ประมาณ 100,000 ถึง 1,000,000 ตารางกิโลเมตร เช่น เกาะสกาย ประเทศอังกฤษ (ภาพที่ 5)
  • ภาพที่ 1.2 ที่ราบสูงลาวา (เกาะสกาย)
    • ภูเขาไฟรูปโล่ (Shield volcano): เกิดขึ้นจากแมกมาบะซอลต์ที่มีความหนืดสูง ไหลออกมาฟอร์มตัวเป็นที่ราบสูงลาวา แต่ความหนืดทำให้แมกมาก่อตัวเป็นภูเขาไฟขนาดใหญ่และอาจสูงได้ถึง 9,000 เมตร แต่มีลาดชันเพียง 6 - 12 องศา ภูเขาไฟรูปโล่มักเกิดขึ้นจากแมกมาซึ่งยกตัวขึ้นจากจุดร้อน (Hotspot) ในเนื้อโลกชั้นล่าง (Lower mantle) ตัวอย่างเช่น ภูเขาไฟมอนาคีบนเกาะฮาวาย ที่กลางมหาสมุทรแปซิฟิก (ภาพที่ 6)

    ภาพที่ 1.3 ภูเขาไฟรูปโล่ (มอนาคี)

    • กรวยกรวดภูเขาไฟ (Cinder cone): เป็นภูเขาไฟขนาดเล็กมาก สูงประมาณ 100 - 400 เมตร ความลาดชันปานกลาง เกิดจากการสะสมตัวของแก๊สร้อนในแมกมาที่ยกตัวขึ้นมา เมื่อมีความดันสูงเพียงพอ ก็จะระเบิดทำลายพื้นผิวโลกด้านบนเกิดเป็นปล่องภูเขาไฟ กรวดและเถ้าภูเขาไฟ กระเด็นขึ้นสู่อากาศแล้วตกลงมากองทับถมกันบริเวณปากปล่องเกิดเป็นเนินเขารูปกรวย (ภาพที่ 7) ข้อสังเกตคือ ภูเขาไฟแบบนี้ไม่มีธารลาวาซึ่งเกิดขึ้นจากแมกมาไหล แต่จะมีลักษณะเป็นกรวดกลมๆ พุ่งออกมาจากปากปล่อง แล้วกองสะสมกันทำให้เกิดความลาดชันประมาณ 30 - 40 องศา เช่น กรวยภูเขาไฟในรัฐโอรีกอน ประเทศสหรัฐอเมริกา
    ภาพที่ 1.4 กรวยกรวดภูเขาไฟ

    • ภูเขาไฟกรวยสลับชั้น (Composite cone volcano): เป็นภูเขาไฟขนาดปานกลาง ที่มีรูปทรงสวยงามเป็นรูปกรวยคว่ำ สูงประมาณ 100 เมตร ถึง 3,500 เมตร เรียงตัวอยู่บริเวณเขตมุดตัว (Subduction zone) เกิดขึ้นจากแผ่นธรณีมหาสมุทรที่หลอมละลายเป็นแมกมา แล้วยกตัวขึ้นดันเปลือกโลกขึ้นมาเป็นแนวภูเขาไฟรูปโค้ง (Volcanic arc) สิ่งที่ภูเขาไฟพ่นออกมามีทั้งธารลาวา และกรวดเถ้าภูเขาไฟ สลับชั้นกันไป เนื่องจากในบางครั้งแมกมาแข็งตัวปิดปากปล่องภูเขาไฟ ทำให้เกิดแรงดันจากแก๊สร้อน ดันให้ภูเขาไฟระเบิดและเปลี่ยนรูปทรง ตัวอย่างเช่น ภูเขาไฟฟูจิ ประเทศญี่ปุ่น (ภาพที่ 8), ภูเขาไฟพินาตูโบ ประเทศฟิลิปปินส์, ภูเขาไฟเซนต์เฮเลน รัฐวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา ภูเขาไฟรูปกรวยเป็นแนวภูเขาไฟรูปโค้ง (Volcano arc) ซึ่งเกิดขึ้นจากแมกมาในบริเวณเขตมุดตัวของเปลือกโลกมหาสมุทรที่หลอมละลาย ประเภทนี้ระเบิด จะมีความรุนแรงสูงและก่อให้เกิดความเสียหายเป็นอย่างมาก

    ภาพที่ 1.5 ภูเขาไฟกรวยสลับชั้น (ฟูจิ)
    การแบ่งประเภทภูเขาไฟตามการปะทุ(Explosion)
    

    ภูเขาไฟที่กำลังพ่นควันอยู่ (active volcano) แสดงว่าภายใต้ภูเขาไฟยังมีแมกมาที่พร้อมจะระเบิดส่งลาวาและเถ้าถ่าน(ash) ออกมาเมื่อไหร่ก็ได้ เช่น ภูเขาไฟกีลัว (Mount Kilauea) ในรัฐฮาวาย ภูเขาไฟโรเปฮู (Mount Ruapehu) ในประเทศนิวซีแลนด์ และภูเขาไฟเซนต์เฮเลนส์ (Mount Saint Helens) ในประเทศสหรัฐอเมริกา
    ภูเขาไฟที่ขณะนี้ดับแต่สามารถระเบิดขึ้นมาเมื่อไรก็ได้ (dormant volcano) เช่นภูเขาไฟฟูจิ (Mount Fuji)ในประเทศญี่ปุ่นและภูเขาไฟพินาตูโบ(Mount Pinatubo) ในประเทศฟิลิปปินส์ มีหลักฐานว่าเกิดระเบิดครั้งสุดท้ายเมื่อ 600 ปีก่อน แต่เมื่อปี พ.ศ. 2536 ภูเขาไฟพินาตูโบเกิดระเบิดครั้งใหญ่ สร้างความเสียหายใหญ่หลวงทั้งชีวิตและทรัพย์สิน สิ่งที่น่าสังเกตคือ ภูเขาไฟประเภทนี้มักมีประวัติว่าเคยระเบิดมาแล้วหรือมีอายุต่ำกว่า 2 แสนปี



    ภูเขาไฟที่ดับแล้ว (extinct volcano) ภูเขาไฟประเภทนี้ไม่ระเบิดอีกเพราะแผ่นธรณีภาค บริเวณนั้นอยู่ในสภาวะเสถียรและไม่พบว่ามีความร้อนใต้พิภพบริเวณนั้น เช่น เขากระโดง เขาพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ และที่ดอยคอกหินฟู จังหวัดลำปาง เนื่องจากภูเขาเหล่านี้มีอายุมาก ทำให้ถูกกัดกร่อนตามธรรมชาติจนไม่เหลือรูปทรงของภูเขาไฟอยู่เลย

    ลาวาหลาก (Lava Flow)
                       
     เนื่องด้วยลาวาที่มีปริมาณซิลิกาต่ำหรือลาวาที่มีองค์ประกอบเป็นบะซอลต์ปกติจะมีความเหลวมากและไหลเป็นชั้นบางๆแผ่เป็นแผ่นกว้างเหมือนลิ้นตัวอย่างบนเกาะฮาวาย ลาวาจะไหลออกมาด้วยความเร็ว 30 km./h บนพื้นที่ที่ชันมาก อย่างไรก็ตามความเร็วแบบนี้เกิดขึ้นได้น้อยมาก โดยปกติพบว่ามีความเร็ว 10 - 300m./h ในทางกลับกันการเคลื่อนที่ของลาวาที่มีซิลิกาสูงจะช้ากว่า เมื่อลาวาบะซอลต์ของการปะทุแบบฮาวายเอียนแข็งตัวมันจะมีผิวเรียบบางทีเป็นคลื่น(Wrinkle)ในขณะที่ลาวาด้านในใต้พื้นผิวซึ่งยังหลอมอยู่จะเคลื่อนที่ต่อไป ลักษณะนี้เรียกว่า "การไหลแบบ ปาฮอยฮอย (Pahoehoe flow)" ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับริ้วเชือกบิดลาวาบะซอลตืทั่วๆไปจากแหล่งอื่นมักมีผิวขรุขระ เป็นแท่ง ขอบไม่เรียบแหลมคมหรือมีหนามยื่นออกมาเรียกว่า"อาอา(Aa)"ซึ่งเกิดจากลาวาประเภทนี้เช่นกันอาอาที่กำลังไหลออกมาจะเย็นและหนาขึ้นอยู่กับความชันของ ภูมิประเทศที่มันไหลมามีความเร็วของการไหลประมาณ 5-50m./h นอกจากนั้นก๊าซที่ออกมาจะทำให้ผิวของลาวาที่เย็นแตกออกและให้รูหรือช่องว่างขนาดเล็ก ที่มีปากรูเป็นหนามแหลมคมเมื่อลาวาแข็งตัวแล้ว


    
    1.6 ลาวาหลาก (Lava flow)

    ก๊าซ(Gas)
    ก๊าซละลายอยู่ในหินหนืดในปริมาณต่างๆกัน และอยู่ได้เพราะความดันของมวลหินโดยรอบเปรียบเหมือนคาร์บอนไดออกไซด์ที่อยู่ในเครื่องดื่มซึ่งเมื่อความดันลดลงก๊าซ ก็เริ่มหนีออกมาเป็นฟองการศึกษาสภาพจริงจากการระเบิดของภูเขาไฟเป็นสิ่งที่ยุ่งยากและอันตรายมากดังนั้นนักธรณีวิทยาจึงประมาณการ ปริมาณก๊าซที่ขึ้นมาจากก๊าซเริ่มต้น ที่ละลายอยู่ในหินหนืดไม่ได้เชื่อกันว่าหินหนืดส่วนใหญ่มีก๊าซละลายอยู่ประมาณ5%ของน้ำหนักทั้งหมดและก๊าซที่ออกมามีมากกว่า1000ตันต่อวัน องค์ประกอบของก๊าซ ก็เป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์สนใจมากเช่นกันทั้งนี้เพราะปรากฏการณ์เหล่านี้เป็นแหล่งกำเนิดของมหาสมุทรและบรรยากาศของโลกการวิเคราะห์ตัวอย่างที่เก็บจากการระเบิดของ ภูเขาไฟที่ฮาวายชี้ให้เห็นว่าก๊าซที่ถูกปล่อยออกมาประกอบด้วยไอน้ำประมาณ70%คาร์บอนไดออกไซด์15%สารประกอบไนโตรเจนและซัลเฟอร์อย่างละ5%ก๊าซอื่นๆ ที่มีปริมาณน้อยกว่าได้แก่คลอรีนไฮโดรเจนและอาร์กอนสารประกอบซัลเฟอร์จะทดสอบได้ง่ายโดยกลิ่นฉุนของมันซึ่งอาจกลายเป็นกรดซัลฟิวริกและมีอันตรายเมื่อได้สูดดม เข้าไปในปอด


    1.7แก๊สระเบิดจาภูเขาไฟ
    สถิติการเกิดภูเขาไฟระเบิดครั้งสำคัญ

      การระเบิดของภูเขาไฟครั้งสำคัญได้ทำลายชีวิตผู้คนไปแล้วเกือบ2 แสนคน นับว่าเป็นจำนวนไม่น้อยในปี ค.ศ. 1985ประชาชนชาวโคลัมเบียสูญเสียชีวิตเป็นหมื่นเช่นกัน ใน 17 ครั้ง 11ครั้งเป็นการระเบิดของภูเขาไฟซึ่งอยู่ในประเทศเขตร้อน ได้แก่ ดินแดนประเทศอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ นิวกีนี เกาะมาร์ตินีก อยู่ในหมู่เกาะอินดีสตะวันตกและกัวเตมาลา (ละติจูด 15° เหนือ) ประเทศโคลัมเบีย(ละติจูด 5° เหนือ) และประเทศแคเมอรูน (ละติจุด 5° เหนือ)เป็นที่น่าสังเกตว่าประเทศในเขตร้อนมักจะประสบภัยจากธรรมชาติหลายประเทศ ตลอดจนภูเขาไฟระเบิดด้วย ซ้ำประเทศเหล่านี้เป็นประเทศกำลังพัฒนา สถิติประชากรประสบภัยยังอยู่ในอัตราสูงเพราะขาดการเตือนภัยที่ดี และการอพยพประชากรทำได้ลำบากเพราะความไม่สะดวกของเส้นทางคมนาคม ตลอดจนการพยากรณ์ภัยพิบัติไม่ค่อยได้รับความเชื่อถือเท่าที่ควร หรือขาดการประชาสัมพันธ์ที่ดีเปรียบเทียบกับประเทศที่เจริญแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกากลับมีผู้เสียชีวิตเพียง 60 คน เท่านั้น แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ดังนั้น ถ้าการพยากรณ์และเตือนภัยภูเขาไฟระเบิดกระทำอยู่อย่างมีประสิทธิภาพ อาจทำให้จำนวนผู้เสียชีวิตลดลงอย่างมาก ภูเขาไฟบางลูกอาจทำลายชีวิตผู้คนหลายหมื่นคน ในการระเบิดเพียงครั้งเดียว ถ้ามีการตายจำนวน 2-3 พันคน จากการระเบิดของภูเขาไฟมักจะเกิดขึ้นโดยต่างปี ต่างสถานที่กันและอีกหลายปีผ่านไปอาจไม่มีใครเสียชีวิตจากภูเขาไฟระเบิดเลยก็ได้ ต่างจากแผ่นดินไหวที่แต่ละปีมีคนตายเป็นพันๆ คน เกือบทุกปี เช่น แผ่นดินไหวที่เคยเกิดเมื่อปี ค.ศ.1928,1950 และ 1976 ที่มีคนตายถึง 100,000 คน การเกิดแผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิด ที่ทำให้เกิดภัยพิบัติอย่างมหาศาล ประชาชนทั้งหลายย่อมได้ฟังมามากมาย แต่เพราะเหตุใดเขาเหล่านั้นยังคงเลือกที่จะอยู่ในสถานที่อันตรายทั้งที่รู้แล้วว่าอีกไม่นานอาจเกิดแผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิด ที่ทำลายบ้านเรือนหรือแม้แต่ชีวิตของตนเองได้ เมื่อเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นคงมีแต่ความเลวร้าย

    ตัวอย่างการเกิดภูเขาไฟที่สำคัญ

    พ.ศ. 622 ภูเขาไฟวิสุเวียส-อิตาลี จำนวนผู้เสียชีวิต 16,000 คน




                                                                      
    สาเหตุการระเบิดของวีซูเวียส เกิดจากการเคลื่อนตัวของเปลือกโลก โดยเปลือกโลกแอฟริกาทางตอนใต้(African Plate) ที่เป็นแผ่นเปลือกโลกที่รองรับทวีปแอฟริกา และพื้นน้ำโดยรอบ ได้เคลื่อนขึ้นมาทางเหนือและชนกับเปลือกโลกยูเรเชียน(Eurasian Plate)ที่เป็นแผ่นเปลือกโลกที่รองรับทวีปยุโรป ทวีปเอเชีย และพื้นน้ำบริเวณใกล้เคียง เมื่อขอบทวีปส่วนหนึ่งมุดจมลงไปใต้แผ่นเปลือกโลกอีกแผ่นหนึ่ง ส่วนที่มุดลงไปสู่ใจกลางโลกที่ยังร้อนจัดจะหลอมเหลวเป็นหินหนืด มีอุณหภูมิและแรงดันสูงมาก จึงดันแทรกตัวพุ่งขึ้นมา
    บ่ายๆของวันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ. พ.ศ. 622(ค.ศ. 79) ภูเขาไฟวิสุเวียสได้ระเบิดขึ้น แสงสว่างแห่งดวงอาทิตย์ถูกบดบังด้วยเถ้าถ่าน และก๊าซต่างๆที่พวยพุ่งออกมาปกคลุมท้องฟ้าให้มืดมิดจนเหมือนเวลากลางคืน แผ่นดินไหวสะเทือนรุนแรง วิสุเวียสปะทุต่อเนื่องยาวนานและรุนเเรงตลอดกลางคืนถึงรุ่งเช้าของวันถัดมา ส่งผลให้ท้องทะเลเกิดคลื่นลมอย่างบ้าคลั่งซัดพังทลายบ้านเรือนริมชายหาดไปหลายแห่ง

    พ.ศ. 1712 ภูเขาไฟเอ็ตนา เกาะซิซิลี –อิตาลี จำนวนผู้เสียชีวิต 15,000 คน


    ภูเขาไฟเอ็ตน่า ตั้งอยู่บนชายฝั่งตะวันออกของเกาะซิซิลี ใกล้กับเมืองเมสซีนาและเมืองกาตานีอา มีความสูง 3พัน 329 ฟุต หรือ 1 หมื่น922 ฟุต ซึ่งเป็นหนึ่งในภูเขาไฟที่คุกรุ่นที่สุดในโลก ตลอดช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา เกิดการระเบิดขึ้นบ่อยครั้งมาก และลาวาที่ไหลบ่อยครั้งก็สร้างความเสียหายและความเดือดร้อนต่างๆ แก่ประชาชนที่อาศัยอยุ่บริเวณภูเขาไฟเอ็ตนามาโดยตลอด


    พ.ศ. 2358 ภูเขาไฟแทมโบโล-อินโดนีเซีย จำนวนผู้เสียชีวิต 12,000คน

    ภูเขาไฟแทมโบร่า ตั้งอยู่บนเกาะ Sumbawa ในประเทศอินโดนีเซีย ใกล้ๆกับเกาะ Lombokและ bali การระเบิดของแทมโบร่า ทำให้เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปไกลถึง 850 กิโลเมตร ต้นไม้ล้มระเนระนาดคล้ายกับโลกทั้งโลกจะพังทลายลงในพริบตา บริเวณนั้นไร้ซึ่งแสงอาทิตย์ตลอดสองวันสองคืนที่เกิดการระเบิดขึ้น หลังจากเกิดการระเบิดของภูเขาไฟแทมโบร่านักวิทยาศาสตร์พบว่า พื้นผิวโลกได้รับพลังงานจากแสงอาทิตย์น้อยลงถึง 20 เปอร์เซ็นต์เพราะ ชั้นบรรยากาศของโลกเต็มไปด้วยฝุ่นที่คละคลุ้งอยู่เต็มไปหมด อุณหภูมิอากาศของซีกโลกเหนือลดลงอย่างมาก ฝุ่นภูเขาไฟที่ลอยคละคลุ้งไปทั่วในชั้นบรรยากาศโลกต้องอาศัยเวลานานหลายปีกว่าจะตกลงมาสู่พื้นโลกจนหมดสิ้น

    วันที่ 26-28 ส.ค พ.ศ. 2426ภูเขาไฟกรากะตัว-อินโดนีเซีย จำนวนผู้เสียชีวิต 35,000 


    ภูเขาไฟระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง เกาะสั่นสะเทือน เถ้าถ่านฝุ่นควันปลิวไปทั่วท้องฟ้าในคืนนั้น ที่กำลังอยู่ในเรือที่อยู่ห่างจากกรากะตัวถึง16 กิโลเมตรก็ยังเห็นการระเบิดอย่างชัดเจน และรู้สึกได้ว่าน้ำทะเลรอบเรือร้อนขึ้นมาก การระเบิดดำเนินไปอย่างต่อเนื่องแรงระเบิดนั้นคร่าชีวิตทุกคนที่ยังอยู่บนเกาะ พื้นที่ร้อยละ65.52 ของเกาะกลายเป็นเถ้าธุลีลอยสูงขึ้นไปถึง 80 กิโลเมตร ในรัศมี 240 กิโลเมตรจากเกาะ ถูกเถ้าธุลีเหล่านั้นบดบังแสงอาทิตย์จนมืดมิดคล้ายตอนกลางคืน เสียงระเบิดดังกึกก้องมาก จนเมืองปัตตาเวียที่อยู่ห่างจากกรากะตัวถึง 150 กิโลเมตร นอกจากนี้การระเบิดยังทำให้เกิดคลื่นสึนามิ สูงกว่า 30 เมตร เดินทางไปถล่มเกาะหลายแห่ง แรงแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นตรวจจับได้แม้แต่ที่สหราชอาณาจักร

    ประโยชน์ของภูเขาไฟระเบิด


    1. การระเบิดของภูเขาไฟช่วยปรับระดับของเปลือกโลกให้อยู่ในภาวะสมดุล
    2. การเคลื่อนที่ของลาวาจากการระเบิดของภูเขาไฟ ทำให้หินอัคนีและหินชั้นใต้ที่ลาวาไหลผ่านเกิดการแปรสภาพเช่น หินแปรที่แข็งแกร่งขึ้น
    3. แหล่งภูเขาไฟระเบิด ทำให้เกิดแหล่งแร่ที่สำคัญขึ้น เช่น เพชร เหล็ก และธาตุอื่นๆ อีกมาก
    4. แหล่งภูเขาไฟจะเป็นแหล่งดินดีเหมาะแก่การเพาะปลูก เช่น ดินที่อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี เป็นต้น
    5. แหล่งภูเขาไฟ เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ เช่น อุทยาแห่งชาติฮาวาย ในอเมริกา หรือแหล่งภูกระโดง ภูอังคารในจังหวัดบุรีรัมย์ ของไทย เป็นต้น
    6. ฝุ่น เถ้าภูเขาไฟที่ล่องลอยอยู่ในอากาศชั้นสตราโตสเฟียร์ ทำให้บรรยากาศโลกเย็นลง ปรับระดับอุณหภูมิของบรรยากาศชั้นโทรโพสเฟียร์ของโลกที่กำลังร้อนขึ้น แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ หรือการเกิดปฏิกิริยาเรือนกระจกและการเปลี่ยนแปลงของกระแสน้ำแอลนิโน ที่ทำให้อุณหภูมิในบรรยากาศของโลกสูงขึ้นนั้น ลดต่ำลงการระเบิดของภูเขาไฟครั้งสำคัญได้ทำลายชีวิตผู้คนไปแล้วเกือบ2 แสนคน นับว่าเป็นจำนวนไม่น้อยในปี ค.ศ. 1985 ประชาชนชาวโคลัมเบียสูญเสียชีวิตเป็นหมื่นเช่นกัน ใน 17 ครั้ง 11 ครั้งเป็นการระเบิดของภูเขาไฟซึ่งอยู่ในประเทศเขตร้อน ได้แก่ ดินแดนประเทศอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ นิวกีนี เกาะมาร์ตินีกอยู่ในหมู่เกาะอินดีสตะวันตกและกัวเตมาลา(ละติจูด 15° เหนือ) ประเทศโคลัมเบีย (ละติจูด เหนือ) และประเทศแคเมอรูน (ละติจุด เหนือ)เป็นที่น่าสังเกตว่าประเทศในเขตร้อนมักจะประสบภัยจากธรรมชาติหลายประเทศ ตลอดจนภูเขาไฟระเบิดด้วย ซ้ำประเทศเหล่านี้เป็นประเทศกำลังพัฒนา สถิติประชากรประสบภัยยังอยู่ในอัตราสูงเพราะขาดการเตือนภัยที่ดีและการอพยพประชากรทำได้ลำบากเพราะความไม่สะดวกของเส้นทางคมนาคม ตลอดจนการพยากรณ์ภัยพิบัติไม่ค่อยได้รับความเชื่อถือเท่าที่ควร หรือขาดการประชาสัมพันธ์ที่ดีเปรียบเทียบกับประเทศที่เจริญแล้วเช่น สหรัฐอเมริกากลับมีผู้เสียชีวิตเพียง60 คน เท่านั้น แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ดังนั้น ถ้าการพยากรณ์และเตือนภัยภูเขาไฟระเบิดกระทำอยู่อย่างมีประสิทธิภาพ อาจทำให้จำนวนผู้เสียชีวิตลดลงอย่างมากภูเขาไฟบางลูกอาจทำลายชีวิตผู้คนหลายหมื่นคน ในการระเบิดเพียงครั้งเดียว ถ้ามีการตายจำนวน 2-3พันคน จากการระเบิดของภูเขาไฟมักจะเกิดขึ้นโดยต่างปี ต่างสถานที่กันและอีกหลายปีผ่านไปอาจไม่มีใครเสียชีวิตจากภูเขาไฟ

    ผลกระทบจากการระเบิดของภูเขาไฟ



    ผลกระทบที่เกิดหลังจากภูเขาไฟระเบิดที่เห็นได้ชัดคือ ส่วนของลาวาที่มีความร้อนสูงจะไหลออกมาทำลายสิ่งก่อนสร้างและเถ้าถ่านที่ถูก พ่นออกมาทำให้เกิดมลพิษทางอากาศ ส่วนผลข้างเคียงอื่นๆ อีกหลายประการได้แก่

    เถ้าถ่านที่ถูกพ่นออกมาจากปล่องภูเขาไฟ สามารถล่องลอยในชั้นบรรยากาศได้เป็นเวลานาน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิอากาศ เช่นเหตุการณ์ใน พ.ศ.2426 ที่ภูเขาไฟกรากาตัว(Mount Krakatoa) ในประเทศอินโดนีเซียระเบิดอย่างรุนแรง ทำให้เถ้าถ่านฟุ้งกระจายปกคลุมอยู่ทั่วชั้นบรรยากาศโลก บดบังแสงอาทิตย์ทำให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสิ่งมีชีวิตทั้งหลายบนโลก คล้ายกับการเกิดปรากฎการณ์เรือนกระจกที่มีแก๊สพิษปนออกมา เช่น แก๊สซัลเฟอร์ไดออกไซด์ แก๊สไฮโดรเจนซัลไฟด์ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ และกรดไฮโดรคลอริก ซึ่งเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต
    เหตุการณ์โคลนถล่ม(mud flow) มีผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศหลังเกิดภูเขาไฟระเบิดซึ่งอาจทำให้ฝนตก หนักจนน้ำพัดพาเถ้าถ่านและก้อนหินที่พ่นออกมาจากปล่องภูเขาไฟ ไหลลงมาตามลาดเชิงเขาทำลายสิ่งก่อสร้างและบ้านเรือนในบริเวณใกล้เคียงจนได้ รับความเสียหาย




























     























ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น